พายุโซนร้อนปาบึก
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 31 ธันวาคม 2561 – 4 มกราคม 2562 (ออกนอกแอ่ง) |
---|
ความรุนแรง | 85 กม./ชม. (50 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 994 mbar (hPa; 29.35 inHg) |
---|
- วันที่ 28 ธันวาคม 2561 หย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวขึ้นในทะเลจีนใต้ตอนล่าง[8]
- วันที่ 30 ธันวาคม 2561 หย่อมความกดอากาศต่ำดังกล่าวดูดซึมผสานเข้ากับเศษที่หลงเหลือของพายุดีเปรสชันเขตร้อน 35W[9]
- วันที่ 31 ธันวาคม 2561 เนื่องมาจากลมเฉือนแนวตั้งกำลังแรง หย่อมความกดอากาศต่ำจึงไม่เป็นระบบกระทั่งวันที่ 31 ธันวาคม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นเริ่มติดตามพายุดีเปรสชันเขตร้อนที่ก่อตัวขึ้นในทะเลจีนใต้ตอนล่าง[10] ในขณะที่ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ออกการแจ้งเตือนการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนกับระบบ ต่อมาศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ปรับระบบดังกล่าวเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนเช่นกัน และให้รหัสเรียกว่า 36W[11]
- วันที่ 1 มกราคม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นปรับความรุนแรงของพายุดีเปรสชันเขตร้อนเป็นพายุโซนร้อน และใช้ชื่อว่า ปาบึก (Pabuk) การปรับดังกล่าวทำให้ปาบึก กลายเป็นพายุลูกแรกของฤดูกาล 2562 และกลายเป็นพายุที่โดดเด่นกว่าพายุอลิซ เมื่อปี พ.ศ. 2522 และกลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวเป็นพายุโซนร้อนได้เร็วที่สุด ในบันทึกของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ[12] ในขณะที่พายุอยู่ห่างจากโฮจิมินห์ ซิตี ประเทศเวียดนามไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 650 กม. โดยมีศูนย์กลางการหมุนเวียนระดับต่ำเปิดออกเป็นบางส่วน[13] ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเกี่ยวกับพายุโซนร้อนปาบึก โดยคาดว่าพายุจะเคลื่อนตัวเข้าอ่าวไทยในวันที่ 2–3 มกราคม และส่งผลกระทบกับภาคใต้ในวันที่ 3–5 มกราคม[14]
- วันที่ 3 มกราคม ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดีที่มีอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลที่อุ่น การไหลออกในแนวขั้วอย่างดีเยี่ยม แต่มีลมเฉือนแนวตั้งกำลังแรง ทำให้พายุปาบึก ต้องดิ้นรนที่จะทวีกำลังแรงขึ้น จนกระทั่งมันเคลื่อนตัวเร่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเฉตะวันตก และเข้าสู่อ่าวไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีลมเฉือนในแนวตั้งน้อยกว่า และกลายเป็นพายุโซนร้อนลูกแรกที่พัดเข้าสู่อ่าว นับตั้งแต่พายุไต้ฝุ่นหมุ่ยฟ้าในปี พ.ศ. 2547 ยิ่งไปกว่านั้น มันยังพยายามที่จะสร้างตาพายุขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นโดยภาพถ่ายในช่วงคลื่นไมโครเวฟ[15]
- วันที่ 4 มกราคม กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า พายุปาบึกขึ้นฝั่งที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในเวลา 12:45 น. ตามเวลาในประเทศไทย (05:45 UTC) แม้ว่าหน่วยงานอื่น ๆ จะชี้ว่าพายุปาบึกจะขึ้นฝั่งในระหว่างเวลา 06:00 ถึง 12:00 UTC (13:00 ถึง 19:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ก็ตาม[16] ทำให้ปาบึก เป็นพายุโซนร้อนลูกแรกที่พัดขึ้นฝั่งในภาคใต้ นับตั้งแต่พายุโซนร้อนลินดา เมื่อปี พ.ศ. 2540 ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นยังคงติดตามพายุต่อจนออกการวิเคราะห์ครั้งสุดท้ายในเวลา 12:00 UTC (หรือตรงกับ 19:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย)[17][18]
ในประเทศเวียดนาม พายุปาบึกทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งคน[19] และทำให้เกิดความเสียหายประมาณ 2.787 หมื่นล้านด่ง (ประมาณ 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 38 ล้านบาท)[20] ส่วนในประเทศไทย ซึ่งพายุปาบึกพัดขึ้นฝั่ง มีผู้เสียชีวิตจำนวนแปดรายในจำนวนนี้เป็นชาวรัสเซียหนึ่งราย[21][22] และสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 3.2 พันล้านบาท (100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[23] นอกจากนี้ปาบึกยังทำให้มีผู้เสียชีวิตอีก 1 รายในประเทศมาเลเซีย[24]
วันที่ 3 มกราคม ในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการอพยพประชาชนกว่า 3 หมื่นคนออกจากพื้นที่ริมชายฝั่ง[25] ท่าอากาศยานบางแห่งในภาคใต้ต้องหยุดให้บริการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติสมุย ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชและท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี[26][27] ทั้งยังมีรายงานการอพยพผู้คนในพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดต่าง ๆ เช่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดชุมพร อำเภอระโนดในจังหวัดสงขลา[28][29][30] เมื่อพายุขึ้นฝั่งที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว[31] อิทธิพลจากพายุยังทำให้เกิดไฟฟ้าดับในหลายพื้นที่ มีผู้ได้รับผลกระทบจากไฟฟ้าดับกว่าห้าหมื่นแปดพันคน[32] ในบางพื้นที่มีรายงานเสาไฟฟ้าและต้นไม้ล้ม[33] และยังทำให้เกิดอุทกภัยเป็นบริเวณกว้างในหลายพื้นที่ รวมถึงมีบ้านเรือนเสียหายอย่างน้อย 1,500 หลัง[34]
พายุไต้ฝุ่นหวู่ติบ
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 18 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม |
---|
ความรุนแรง | 195 กม./ชม. (120 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 920 mbar (hPa; 27.17 inHg) |
---|
- วันที่ 16 กุมภาพันธ์ หย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวขึ้นทางด้านใต้ของหมู่เกาะมาร์แชลล์ โดยตัวหย่อมเริ่มมีการจัดระดับขึ้นขณะเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก
- วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ในขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ำอยู่ทางใต้ของสหพันธรัฐไมโครนีเซีย กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ปรับให้ระบบเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน
- วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมปรับให้หย่อมความกดอากาศต่ำขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนเช่นกัน
- วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พายุดีเปรสชันเขตร้อนทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อว่า หวู่ติบ (Wutip)
- วันที่ 21 กุมภาพันธ์ หวู่ติบทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง ก่อนที่จะเป็นพายุไต้ฝุ่นในช่วงปลายของวัน
- วันที่ 23 กุมภาพันธ์ หวู่ติบทวีกำลังแรงขึ้นจนมีกำลังตามมาตราแซฟเฟอร์–ซิมป์สันเป็นพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 4 โดยกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นวัดความเร็วลมสูงสุดใน 10 นาทีได้ 185 กม./ชม. และวัดความกดอากาศต่ำที่สุดได้ 925 hPa ส่วนศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมวัดความเร็วลมสูงสุดใน 1 นาทีได้ 250 กม./ชม. ขณะที่ตัวพายุกำลังเคลื่อนตัวอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกวม โดยนับเป็นพายุไต้ฝุ่นที่มีกำลังแรงที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ นับตั้งแต่พายุไต้ฝุ่นฮีโกส เมื่อปี พ.ศ. 2558[1] จากนั้นไม่นานหวู่ติบได้เข้าสู่วัฏจักรการแทนที่กำแพงตา ทำให้ตัวพายุอ่อนกำลังลงขณะกำลังเคลื่อนตัวเลี้ยวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ[1]
- วันที่ 24 กุมภาพันธ์ หวู่ติบเสร็จสิ้นวัฏจักรการแทนที่กำแพงตา และเริ่มกลับมาทวีกำลังแรงขึ้นอีกครั้ง
- วันที่ 25 กุมภาพันธ์ หวู่ติบทวีกำลังแรงขึ้นจนมีความรุนแรงสูงสุด ด้วยความเร็วลมสูงสุดใน 10 นาทีที่ 195 กม./ชม. และความเร็วลมสูงสุดใน 1 นาทีที่ 260 กม./ชม. (เป็นพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นตามมาตราของศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม) และมีความกดอากาศต่ำที่สุดที่ 920 hPa
- วันที่ 26 กุมภาพันธ์ หวู่ติบได้เคลื่อนตัวเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่มีลมเฉือนแนวตั้งกำลังปานกลาง และเริ่มอ่อนกำลังลง พร้อมทั้งเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก
- วันที่ 27 กุมภาพันธ์ หวู่ติบอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้สูญเสียโครงสร้างการพาความร้อนทั้งหมดไป จากการปะทะกับลมเฉือนที่เพิ่มขึ้นและอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลที่ลดลงด้วย
- วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ในขณะที่บางหน่วยงานระบุว่าหวู่ติบได้สลายตัวไปแล้ว แต่ PAGASA ยังคงติดตามพายุอยู่ โดยให้ชื่อกับพายุว่า เบตตี (Betty) โดยหวู่ติบยังคงเคลื่อนตัวต่อไปในทะเลฟิลิปปิน และอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากลมเฉือนแนวตั้งที่มีกำลังแรง (40-50 นอต หรือ 75-95 กม./ชม.) และอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลที่ลดต่ำลง
- วันที่ 2 มีนาคม หวู่ติบสลายตัว
การประมาณความเสียหายขั้นต้นในเกาะกวมจากพายุหวู่ติบอยู่ที่ 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 41 ล้านบาท)[35]
พายุโซนร้อนเซอปัต
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
|
ระยะเวลา | 17 – 28 มิถุนายน |
---|
ความรุนแรง | 75 กม./ชม. (45 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 994 mbar (hPa; 29.35 inHg) |
---|
- วันที่ 17 มิถุนายน กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นตรวจพบพายุดีเปรสชันเขตร้อนก่อตัวขึ้นเหนือบริเวณหมู่เกาะแคโรไลน์
- วันที่ 18 มิถุนายน พายุดีเปรสชันเขตร้อนเคลื่อนตัวเลี้ยวไปทางตะวันออก ก่อนจะเบนตัวเข้าหาพื้นที่เปิดของมหาสมุทรแปซิฟิก
- วันที่ 21 มิถุนายน พายุดีเปรสชันเขตร้อนเคลื่อนตัวกลับไปทางตะวันตกเฉียงเหนืออย่างช้า ๆ
- วันที่ 22 มิถุนายน เวลา 07:00 UTC (19:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นฟิลิปปินส์) พายุดีเปรสชันเขตร้อนเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่รับผิดชอบของ PAGASA ในทะเลฟิลิปปิน แต่ PAGASA ยังไม่ได้จัดให้ระบบเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน
- วันที่ 24 มิถุนายน พายุเคลื่อนตัวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือและผ่านเข้าใกล้เกาะลูซอน
- วันที่ 25 มิถุนายน พายุดีเปรสชันเขตร้อนมีกำลังแรงพอที่ PAGASA จะจัดให้ระบบเป็นพายุหมุนเขตร้อน และให้ชื่อ โดโดง (Dodong) กับพายุ โดยพายุดีเปรสชันเขตร้อนเคลื่อนตัวเลี้ยวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากผ่านใกล้เกาะลูซอนไปแล้ว
- วันที่ 27 มิถุนายน พายุเริ่มเคลื่อนไปประชิดแผ่นดินหลักของประเทศญี่ปุ่นจากทางใต้ ต่อมาได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนและได้รับชื่อว่า เซอปัต (Sepat) โดยพายุเซอปัตเคลื่อนตัวเลี้ยวไปทางตะวันออกตามแนวชายฝั่งภาคใต้ของประเทศญี่ปุ่น
- วันที่ 28 มิถุนายน พายุเซอปัตเปลี่ยนผ่านเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน และเร่งเคลื่อนตัวไปทางตะวันออก
พายุลูกนี้ไม่ถูกติดตามโดยศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม อย่างไรก็ตาม มันถูกจัดให้เป็นพายุกึ่งโซนร้อน ด้วยความเร็วลมต่อเนื่องใน 1 นาที 75 กม./ชม.[36] ในลักษณะที่คล้ายกับกรณีของพายุโซนร้อนมิแทกเมื่อปี 2557
พายุโซนร้อนมูน
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 1 – 4 กรกฎาคม |
---|
ความรุนแรง | 65 กม./ชม. (40 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 992 mbar (hPa; 29.29 inHg) |
---|
- วันที่ 1 กรกฎาคม พายุดีเปรสชันเขตร้อนก่อตัวขึ้นในทะเลจีนใต้ใกล้กับหมู่เกาะแพราเซล
- วันที่ 2 กรกฎาคม พายุดีเปรสชันเขตร้อนทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อว่า มูน (Mun) ต่อมาพายุมูนได้พัดขึ้นฝั่งบนเกาะไหหนัน อย่างไรก็ตาม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมยังไม่ได้ปรับให้ระบบเป็นพายุโซนร้อน
- วันที่ 3 กรกฎาคม หลังพายุเคลื่อนตัวผ่านอ่าวตังเกี๋ยใกล้จะไปยังชายฝั่งประเทศเวียดนามแล้ว ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ปรับให้ตัวพายุเป็นพายุโซนร้อน
- วันที่ 4 กรกฎาคม เวลา 04:30 ถึง 05:00 น. ตามเขตเวลาอินโดจีน พายุมูนได้พัดขึ้นฝั่งที่จังหวัดท้ายบิ่ญในภาคเหนือของประเทศเวียดนาม[37] จากนั้นได้เคลื่อนตัวต่อเข้าไปในแผ่นดินพร้อมทั้งอ่อนกำลังลง ก่อนจะสลายตัวลงไปในช่วงปลายของวัน
สะพานในอำเภอหนึ่งของจังหวัดทัญฮว้าได้รับความเสียหายจากพายุ มีผู้เสียชีวิต 2 คนและได้รับบาดเจ็บ 3 คน นอกจากนี้ยังมีความเสียหายเกิดขึ้นกับเสาไฟฟ้าในจังหวัดเอียนบ๊ายด้วย โดยมีความเสียหายอยู่ที่ 5.6 พันล้านด่ง (240,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7.4 ล้านบาท)[37] และยังมีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้าด้วย โดยมีการประมาณความเสียหายที่ 2 พันล้านด่ง (86,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.6 ล้านบาท)[38]
พายุโซนร้อนดานัส
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 14 – 21 กรกฎาคม |
---|
ความรุนแรง | 85 กม./ชม. (50 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 985 mbar (hPa; 29.09 inHg) |
---|
- วันที่ 12 กรกฎาคม หย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวขึ้นใกล้กับหมู่เกาะมาเรียนา ต่อมาระบบเคลื่อนตัวไปทางด้านตะวันตกอย่างช้า ๆ
- วันที่ 14 กรกฎาคม หย่อมความกดอากาศต่ำทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนทางตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะมาเรียนา และเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่รับผิดชอบของฟิลิปปินส์ ทำให้ PAGASA ให้ชื่อกับระบบว่า ฟัลโกน (Falcon) หลังจากนั้น ระบบมีการจัดระเบียบขึ้นขณะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะลูซอน
- วันที่ 16 กรกฎาคม พายุดีเปรสชันเขตร้อนทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อจากกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นว่า ดานัส (Danas) หลังจากนั้นไม่นาน ในเวลา 12:00 UTC ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมก็ปรับให้ระบบเป็นพายุโซนร้อนเช่นกัน
- วันที่ 17 กรกฎาคม เวลา 12:30 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศฟิลิปปินส์ PAGASA รายงานว่าพายุดานัส (ฟัสโกน) ได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่เทศบาลเมืองกาตตารัน จังหวัดคากายัน และพัดวนอยู่เหนือแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม ศูนย์กลางการหมุนเวียนของพายุดานัสยังคงอยู่นอกชายฝั่งของเกาะลูซอน และทั้งกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นและศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมต่างไม่ได้รายงานว่าพายุมีการขึ้นฝั่งแต่อย่างใด ทั้งนี้ลมเฉือนฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือได้พัดให้การหมุนเวียนส่วนมากของดานัสเยื้องไปทางตะวันตกเสียมาก และยังมีหย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวขึ้นทางด้านตะวันออกของเกาะลูซอนด้วย ลักษณะเช่นนี้นำไปสู่การก่อตัวของหย่อมความกดอากาศต่ำอีกหย่อมเหนือด้านตะวันตกของฟิลิปปินส์ ซึ่งหย่อมความกดอากาศนี้ได้พัฒนาขึ้นเป็นเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน (โกริง) ต่อไป
- วันที่ 19 กรกฎาคม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นรายงานว่าพายุดานัสมีกำลังสูงสุดที่ความเร็วลม 85 กม./ชม. และหลังจากนั้นดานัสจึงเริ่มอ่อนกำลังลง
- วันที่ 20 กรกฎาคม เวลาประมาณ 13:00 UTC พายุดานัสเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่จังหวัดช็อลลาเหนือ ประเทศเกาหลีใต้ ก่อนจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนไม่นานหลังจากนั้น
- วันที่ 21 กรกฎาคม ที่เวลา 12:45 UTC ดานัสเปลี่ยนผ่านไปเป็นความกดอากาศต่ำนอกเขตร้อนในทะเลญี่ปุ่น และกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ออกคำเตือนสุดท้ายกับระบบ
ในประเทศฟิลิปปินส์ อุทกภัยที่เกิดจากอิทธิพลของพายุดานัสทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 4 คน[39] มีความเสียหายทางการเกษตรเกิดขึ้นในจังหวัดคันลูรังเนโกรสคำนวณได้ 19 ล้านเปโซ (372,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11 ล้านบาท)[40] ขณะที่ความเสียหายทางการเกษตรในจังหวัดฮีลากังลาเนานั้นสูงถึง 277.8 ล้านเปโซ (5.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 162 ล้านบาท)[41] ในประเทศเกาหลีใต้ ดานัสทำให้เกิดสภาพพายุไปทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากตัวพายุนั้นค่อนข้างน้อย ฝนที่ตกอย่างหนักทำให้วัดปริมาณน้ำฝนได้ 329.5 มิลลิเมตร (12.97 นิ้ว) ที่พอร์ตแฮมิลตัน[42] มีชายคนหนึ่งเสียชีวิตจากการถูกคลื่นแรงซัด[43] ผลกระทบในจังหวัดช็อลลาใต้อยู่ที่ 395 ล้านวอน (336,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.9 ล้านบาท)[44] ขณะที่ความเสียหายในเกาะเชจูสูงถึง 322 ล้านวอน (274,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8.1 ล้านบาท)[45] นอกจากนี้ ดานัสยังทำให้เกิดน้ำป่าในคีวชูของญี่ปุ่นด้วย โดยมีผู้เสียชีวิตหนึ่งคนเป็นเด็กผู้ชายอายุสิบเอ็ดปี[46]
พายุโซนร้อนนารี
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 24 – 28 กรกฎาคม |
---|
ความรุนแรง | 65 กม./ชม. (40 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 998 mbar (hPa; 29.47 inHg) |
---|
- วันที่ 21 กรกฎาคม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้เริ่มติดตามหย่อมความกดอากาศต่ำซึ่งเป็นเศษที่หลงเหลือของพายุดีเปรสชันเขตร้อนที่สลายตัวไปเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม เนื่องจากการมีศักยภาพที่จะก่อตัวเป็นพายุหมุนเขตร้อนได้ และเนื่องด้วยภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมระบบจึงมีการจัดระบบตัวเองขึ้น
- วันที่ 24 กรกฎาคม เวลา 00:00 UTC หย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน ขณะอยู่ทางตะวันตกของหมู่เกาะโบนิน โดยตัวพายุมีการจัดระบบอย่างต่อเนื่องขณะเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเฉเหนือ
- วันที่ 25 กรกฎาคม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้จัดให้พายุเป็นพายุโซนร้อน และให้รหัสเรียกว่า 07W
- วันที่ 26 กรกฎาคม พายุดีเปรสชันเขตร้อนได้ทวีกำลังขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อจากกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นว่า นารี (Nari) ขณะกำลังเคลื่อนตัวไปทางเหนือ พายุนารีได้พัดเข้าประชิดประเทศญี่ปุ่นจากทางใต้และพัดขึ้นฝั่ง จากนั้นจึงอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน จากนั้นจึงได้อ่อนกำลังเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำที่หลงเหลือตามลำดับ
พายุโซนร้อนวิภา
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 30 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 85 กม./ชม. (50 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 985 mbar (hPa; 29.09 inHg) |
---|
- วันที่ 30 กรกฎาคม พายุดีเปรสชันก่อตัวขึ้นในทะเลจีนใต้บริเวณใกล้กับหมู่เกาะพาราเซลและเกาะไหหนัน
- วันที่ 30 กรกฎาคม พายุได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อจากกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นว่า วิภา (Wipha) ทั้งนี้ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมก็ปรับให้ตัวพายุดีเปรสชันเป็นพายุโซนร้อนด้วย
- วันที่ 2 สิงหาคม พายุโซนร้อนวิภาพัดขึ้นฝั่งในประเทศเวียดนาม และอ่อนกำลังลงตามลำดับ
- วันที่ 3 สิงหาคม พายุวิภาสลายตัวลง
ในประเทศเวียดนาม มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 คน โดยมีผลกระทบหนักที่สุดอยู่ที่จังหวัดทัญฮว้า ซึ่งมียอดผู้เสียชีวิตเพียงจังหวัดเดียวถึง 16 คน[47] และมีความสูญเสียเกิดขึ้นถึง 1 ล้านล้านด่ง (43.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.3 พันล้านบาท)[48] ขณะที่ความเสียหายในจังหวัดเซินลาสูงถึง 2.8 หมื่นล้านด่ง (1.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 36 ล้านบาท)[49]
พายุไต้ฝุ่นซานฟรานซิสโก
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 1 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 1 – 7 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 130 กม./ชม. (80 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 970 mbar (hPa; 28.64 inHg) |
---|
พายุไต้ฝุ่นเลกีมา
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 4 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 2 – 14 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 195 กม./ชม. (120 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 920 mbar (hPa; 27.17 inHg) |
---|
พายุไต้ฝุ่นกรอซา
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 3 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 5 – 16 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 155 กม./ชม. (100 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 950 mbar (hPa; 28.05 inHg) |
---|
พายุโซนร้อนกำลังแรงไป๋ลู่
พายุโซนร้อนกำลังแรง (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 20 – 26 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 95 กม./ชม. (60 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 985 mbar (hPa; 29.09 inHg) |
---|
- วันที่ 20 สิงหาคม พายุดีเปรสชันเขตร้อนก่อตัวขึ้นทางตะวันตกของหมู่เกาะมาเรียนา
- วันที่ 21 สิงหาคม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ปรับให้ระบบเป็นพายุโซนร้อน และให้ชื่อว่า ไป๋ลู่ (Bailu) และศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้จัดให้ระบบเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนและใช้รหัสเรียกขานว่า 12W โดยไป๋ลู่ได้ทวีกำลังแรงขึ้นอย่างค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปในทะเลฟิลิปปิน
- วันที่ 24 สิงหาคม เวลา 05:00 UTC (13:00 ตามเวลาท้องถิ่นไต้หวัน) ไป๋ลู่พัดขึ้นฝั่งที่เขตหมานโซ ผิงตง ไต้หวัน[50]
แม้ว่าไป๋ลู่จะไม่ได้พัดขึ้นฝั่งในประเทศฟิลิปปินส์ แต่ก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนสองคนในจังหวัดฮีลากังอีโลโคส[51] และสร้างความเสียหายในพื้นที่ 1.1 พันล้านเปโซ (21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[52] ในประเทศไต้หวัน ไป๋ลู่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งคน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนเก้าคน[53] สถาบันความเสียหายได้คำนวณความเสียหายไว้ที่ 2.31 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (74,000 ดอลลาร์สหรัฐ)[54] ขณะที่ความเสียหายทางการเกษตรสูงถึง 175 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (5.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[55] ส่วนในประเทศจีน ความเสียหายในมณฑลฝูเจี้ยนสูงถึง 10.49 ล้านหยวน (1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[56]
พายุโซนร้อนโพดุล
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 25 – 31 สิงหาคม |
---|
ความรุนแรง | 85 กม./ชม. (50 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 992 mbar (hPa; 29.29 inHg) |
---|
- วันที่ 25 สิงหาคม กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นเริ่มติดตามพายุดีเปรสชันเขตร้อนที่อยู่บริเวณใกล้กับอะทอลล์อีฟาลิกในมหาสมุทรแปซิฟิก
- วันที่ 26 สิงหาคม PAGASA ให้ชื่อกับพายุดีเปรสชันเขตร้อนว่า เจนนี (Jenny) ส่วนศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ให้รหัสเรียกพายุนี้ว่า 13W
- วันที่ 27 สิงหาคม ระบบได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนและได้รับชื่อว่า โพดุล (Podul) ต่อมาโพดุลได้พัดขึ้นฝั่งครั้งแรกที่เทศบาลคาซิกูรัน จังหวัดเอาโรรา ประเทศฟิลิปปินส์ ในเวลา 10:40 น. ตามเวลาในประเทศฟิลิปปินส์ (14:40 UTC)[57] จากนั้นโพดุลได้เคลื่อนตัวลงสู่ทะเลจีนใต้ และมุ่งหน้าสู่ประเทศเวียดนามต่อไป
- วันที่ 29 สิงหาคม โพดุลพัดขึ้นฝั่งอีกครั้งที่เมืองด่งเฮ้ย จังหวัดกว๋างบิ่ญ ประเทศเวียดนาม ในเวลา 05:00 UTC (เวลา 00:30 น. ตามเขตเวลาอินโดจีน) โดยโพดุลยังคงเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกอย่างต่อเนื่อง[58]
- วันที่ 30 สิงหาคม โพดุลเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณอำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ในเวลา 05:30 น. ตามเวลาในประเทศไทย ด้วยความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางที่ 65 กม./ชม. [59] นับเป็นพายุหมุนเขตร้อนลูกที่สองของฤดูกาลนี้ที่พัดเข้าสู่ประเทศไทยด้วยความรุนแรงระดับพายุโซนร้อน โดยต่อมาพายุโพดุลได้เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกอย่างต่อเนื่องและอ่อนกำลังลงตามลำดับ โดยอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนบริเวณจังหวัดนครพนม[60] และอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณจังหวัดเลยตามลำดับ[61]
ในประเทศฟิลิปปินส์ จังหวัดซีลางังเนโกรส มีชายถูกน้ำพัดไปเนื่องจากคลื่นที่โหมแรง โดยเขาถูกพบเสียชีวิตในเวลาต่อมา[62] และมีผู้เสียชีวิตจากทอร์นาโดพัดเข้าในเขตต่านโจว มณฑลไหหลำ อย่างน้อย 8 คน[63]
พายุไต้ฝุ่นฟ้าใส
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 4 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 30 สิงหาคม – 10 กันยายน |
---|
ความรุนแรง | 155 กม./ชม. (100 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 955 mbar (hPa; 28.2 inHg) |
---|
- วันที่ 29 สิงหาคม เวลา 18:00 UTC พายุดีเปรสชันเขตร้อนก่อตัวขึ้นทางตะวันออกของเส้นแบ่งเขตวันสากล โดยมีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก
พายุโซนร้อนคาจิกิ
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุดีเปรสชันเขตร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 30 สิงหาคม – 7 กันยายน |
---|
ความรุนแรง | 65 กม./ชม. (40 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 996 mbar (hPa; 29.41 inHg) |
---|
- วันที่ 30 สิงหาคม พายุดีเปรสชันเขตร้อนก่อตัวขึ้นทางทิศตะวันออกของเกาะลูซอน จากนั้นตัวระบบอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำเป็นเวลาสั้น ๆ และอีกหกชั่วโมงต่อมาจึงได้ทวีกำลังกลับขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนอีกครั้ง
- วันที่ 31 สิงหาคม ระบบเคลื่อนตัวผ่านหมู่เกาะบาตาเนส โดย PAGASA ได้ปรับให้ระบบเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน และให้ชื่อกับระบบว่า กาบายัน (Kabayan)[64] ต่อมาศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ออกการแจ้งเตือนการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนกับระบบ[65] ต่อมากาบายันได้เคลื่อนตัวออกจากพื้นที่รับผิดชอบของฟิลิปปินส์ (PAR) และ PAGASA ได้ออกการเตือนฉบับสุดท้ายกับระบบ[66]
พายุไต้ฝุ่นเหล่งเหลง
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 4 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 31 สิงหาคม – 7 กันยายน |
---|
ความรุนแรง | <165 กม./ชม. (105 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 940 mbar (hPa; 27.76 inHg) |
---|
พายุโซนร้อนเผ่ย์ผ่า
พายุโซนร้อน (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 13 – 16 กันยายน |
---|
ความรุนแรง | 65 กม./ชม. (40 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 1000 mbar (hPa; 29.53 inHg) |
---|
พายุไต้ฝุ่นตาปะฮ์
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 17 – 22 กันยายน |
---|
ความรุนแรง | 120 กม./ชม. (75 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 970 mbar (hPa; 28.64 inHg) |
---|
พายุไต้ฝุ่นมิแทก
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 3 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 25 กันยายน – 3 ตุลาคม |
---|
ความรุนแรง | 155 กม./ชม. (100 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 965 mbar (hPa; 28.5 inHg) |
---|
พายุไต้ฝุ่นฮากีบิส
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 4 – 13 ตุลาคม |
---|
ความรุนแรง | 195 กม./ชม. (120 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 915 mbar (hPa; 27.02 inHg) |
---|
- วันที่ 2 ตุลาคม ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วม (JTWC) เริ่มติดตามหย่อมความกดอากาศต่ำที่ตั้งอยู่บริเวณด้านเหนือของหมู่เกาะมาเรียนา
- วันที่ 3 ตุลาคม JTWC ได้ออกคำแนะนำซึ่งมีการปรับสถานะตัวหย่อมเป็น "มีโอกาสสูงของการพัฒนาขึ้นเป็นพายุหมุนเขตร้อนภายใน 24 ชั่วโมง" นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า ตัวหย่อมนั้นมีโอกาสสูงที่จะเกิดการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
- วันที่ 4 ตุลาคม JTWC ออกการแจ้งเตือนการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนกับระบบ และกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (JMA) ได้ออกคำแนะนำสำหรับพายุดีเปรสชันเขตร้อน 20W ซึ่งเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนลำดับที่ 38 ของฤดูพายุไต้ฝุ่นแปซิฟิก พ.ศ. 2562 นี้
- วันที่ 5 ตุลาคม พายุดีเปรสชันเขตร้อนทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อจาก JMA ว่า ฮากีบิส (Hagibis) เนื่องจากอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลและปริมาณลมเฉือนในระดับที่ต่ำ ทำให้ตัวพายุนั้นทวีกำลังแรงขึ้นได้ต่อเนื่อง
- วันที่ 6 ตุลาคม พายุฮากีบิสทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง
- วันที่ 7 ตุลาคม ขณะที่พายุฮากีบิสกำลังเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกอยู่นั้น พายุฮากีบิสได้ทวีกำลังแรงขึ้นอย่างระเบิด (explosively) เป็นพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง และมีการพัฒนาตาขนาดรูเข็มขึ้น ขณะที่ตัวพายุได้ประชิดกับพื้นที่ไม่มีคนอยู่อาศัยของหมู่เกาะมาเรียนา กิจกรรมการพาความร้อนที่รุนแรงอันเป็นผลมาจากปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยอย่างสุดขั้วนั้น ทำให้ตัวพายุมีกำลังอย่างรุนแรงที่ระดับพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นเทียบเท่าพายุระดับ 5 ตามมาตราลมเฮอริเคนแซฟเฟอร์–ซิมป์สัน โดยมีความเร็วลมสูงสุดต่อเนื่องใน 1 นาทีที่ 260 กม./ชม. ขณะที่บริการลมฟ้าอากาศแห่งชาติสหรัฐ ได้เริ่มออกคำแนะนำกับพื้นที่ที่หน่วยงานรับผิดชอบ โดยมีการเตือนพายุไต้ฝุ่นในการาปันและติเนียน และเตือนพายุโซนร้อนในซินาปาโลและฮากัตญา[67] พายุฮากีบิสเคลื่อนตัวผ่านหมู่เกาะมาเรียนาในเวลา 15:30 UTC ด้วยความรุนแรงสูงสุด ความเร็วลมต่อเนื่องใน 10 นาทีที่ 195 กม./ชม. และความกดอากาศที่ศูนย์กลาง 915 hPa
- วันที่ 8 ตุลาคม หลังจากที่ตัวพายุเคลื่อนผ่านหมู่เกาะมาเรียนาไปแล้ว ฮากีบิสเริ่มเข้าสู่วัฏจักรการแทนที่กำแพงตา ซึ่งเป็นสาเหตุให้การทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นสิ้นสุดลง และเมื่อกำแพงตาหลักเริ่มกร่อนลง[68] JTWC จึงได้ปรับลดความรุนแรงของระบบพายุลงเล็กน้อยเป็น พายุระดับ 4 ขั้นสูงสุด ในเวลา 00:00 UTC อีกหลายชั่วโมงต่อมา พายุฮากีบิสได้กลับทวีกำลังแรงขึ้นอีกครั้งเป็นพายุระดับ 5 เมื่อวัฏจักรการแทนที่กำแพงตานั้นสิ้นสุดลง
- วันที่ 10 ตุลาคม หลังจากที่ตัวพายุรักษาความรุนแรงอย่างค่อนข้างคงที่มาหลายวัน ฮากีบิสเริ่มอ่อนกำลังลงในเวลา 12:00 UTC ต่อมาในเวลา 13:30 UTC เริ่มมีการคาดการณ์ถึงผลกระทบกับส่วนของประเทศญี่ปุ่น เช่น ผู้จัดงานรักบี้ชิงแชมป์โลก 2019 ได้ตัดสินใจยกเลิกการแข่งขันอย่างน้อยสองแมตช์ซึ่งเดิมกำหนดไว้ว่าจะแข่งขันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์[69] นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น, เจแปนแอร์ไลน์ และออล นิปปอน แอร์เวย์ที่ออกประกาศยุติการให้บริการทั้งหมด[70]
- วันที่ 11 ตุลาคม ฟอร์มูลาวันประกาศยกเลิกรายการการแข่งขันทั้งหมดที่วางไว้ในวันเสาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเจแปนนิสกรังด์ปรีซ์ 2019 ซึ่งประกอบด้วย การฝึกซ้อมครั้งที่สามและการคัดเลือก โดยมีกำหนดจัดใหม่ในช่วงเช้าวันอาทิตย์ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น[71] ส่วนเอฟโฟร์เจแปนนิสแชมเปียนชิป ซึ่งได้ประกาศไปก่อนหน้าแล้วว่าจะยกเลิกการแข่งขันรอบสองที่จังหวัดชิซูโอกะ ซึ่งแต่เดิมถูกกำหนดไว้เป็นกิจกรรมสนับสนุนเจแปนนิสกรังด์ปรีซ์[72]
- วันที่ 12 ตุลาคม พายุไต้ฝุ่นฮากีบิสเคลื่อนตัวประชิดกับชายฝั่งภาคใต้ของประเทศญี่ปุ่น โดยกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ประกาศการเตือนภัยลมฟ้าอากาศฉุกเฉิน สำหรับฝนตกหนักซึ่งมีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดอุทกภัยและแผ่นดินถล่มได้ในหลายภูมิภาค ในจังหวัดชิซูโอกะ, จังหวัดยามานาชิ, จังหวัดนางาโนะ, จังหวัดคานางาวะ, จังหวัดไซตามะ, จังหวัดกุมมะ และโตเกียว[73] การออกการเตือนภัยลมฟ้าอากาศฉุกเฉินนั้นระบุว่า "มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภัยพิบัติอย่างสูง" และ "เป็นปรากฏการณ์ไม่ปกติในระดับที่ชาวท้องถิ่นไม่เคยประสบมาก่อนอาจเกิดชึ้น"[74] และภายหลังยังมีการออกคำเตือนเพิ่มในไม่กี่ชั่วโมงต่อมาในจังหวัดนีงาตะ, จังหวัดโทจิงิ, จังหวัดอิบารากิ, จังหวัดฟูกูชิมะ, จังหวัดอิวาเตะ และจังหวัดมิยางิ[75] ต่อมาพายุไต้ฝุ่นฮากีบิสได้การพัดขึ้นฝั่งที่คาบสมุทรอิซุในด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะฮนชู ในเวลา 09:00 UTC โดยมีความเร็วลมต่อเนื่องใน 10 นาทีที่ 150 กม./ชม. และความเร็วลมต่อเนื่องใน 1 นาทีที่ 155 กม./ชม. เทียบเท่ากับพายุเฮอริเคนระดับ 2[76][77]รายงานจำนวนผู้เสียชีวิตรวม 49 ราย[78]
พายุไต้ฝุ่นนอกูรี
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 2 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 15 – 21 ตุลาคม |
---|
ความรุนแรง | 140 กม./ชม. (85 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 970 mbar (hPa; 28.64 inHg) |
---|
พายุไต้ฝุ่นบัวลอย
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 4 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 18 – 25 ตุลาคม |
---|
ความรุนแรง | 185 กม./ชม. (115 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 935 mbar (hPa; 27.61 inHg) |
---|
พายุโซนร้อนกำลังแรงแมตโม
พายุโซนร้อนกำลังแรง (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุโซนร้อน (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 28 – 31 ตุลาคม |
---|
ความรุนแรง | 95 กม./ชม. (60 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 992 mbar (hPa; 29.29 inHg) |
---|
วันที่ 28 ตุลาคม พายุดีเปรสชันก่อตัวขึ้นใกล้เกาะปาเลาและพัดขึ้นฝั่งที่ประเทศเวียดนามในวันที่ 30 ตุลาคม ขณะมีกำลังเป็นพายุโซนร้อนชื่อว่า แมตโม (Matmo)[79] โดยพายุแมตโมมีกำลังสูงสุดเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรงด้วยความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 95 กม./ชม. และความกดอากาศต่ำที่สุด 992 เฮกโตปาสกาล แมตโมทำให้เกิดฝนตกในประเทศกัมพูชาและประเทศไทย ขณะที่เกิดฝนตกอย่างหนักที่สุดในประเทศเวียดนาม ทำให้เกิดอุทกภัยและมีการปิดถนนหลายสาย[80][81] หลังจากพัดขึ้นฝั่งแล้ว พายุอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน ขณะที่ส่วนที่เหลือของพายุแมตโมได้เคลื่อนตัวต่อไปผ่านประเทศไทยลงสู่มหาสมุทรอินเดียในวันที่ 2 พฤศจิกายน[82] และได้ทวีกำลังขึ้นใหม่อีกครั้งเป็นพายุไซโคลนกำลังแรงมากบุลบูล
พายุไต้ฝุ่นหะลอง
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 2 – 9 พฤศจิกายน |
---|
ความรุนแรง | 215 กม./ชม. (130 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 905 mbar (hPa; 26.72 inHg) |
---|
ดูเพิ่มเติมที่ : พายุไต้ฝุ่นหะลอง (พ.ศ. 2562)
พายุไต้ฝุ่นนากรี
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 1 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 4 – 11 พฤศจิกายน |
---|
ความรุนแรง | 120 กม./ชม. (75 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 975 mbar (hPa; 28.79 inHg) |
---|
พายุไต้ฝุ่นเฟิงเฉิน
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 3 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 10 – 18 พฤศจิกายน |
---|
ความรุนแรง | 155 กม./ชม. (100 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 965 mbar (hPa; 28.5 inHg) |
---|
พายุไต้ฝุ่นคัลแมกี
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 1 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 11 พฤศจิกายน – ปัจจุบัน |
---|
ความรุนแรง | 120 กม./ชม. (75 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 980 mbar (hPa; 28.94 inHg) |
---|
พายุโซนร้อนกำลังแรงฟงวอง
พายุโซนร้อนกำลังแรง (JMA) |
---|
พายุโซนร้อน (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 1 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 18 – 23 พฤศจิกายน |
---|
ความรุนแรง | 100 กม./ชม. (65 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 990 mbar (hPa; 29.23 inHg) |
---|
พายุไต้ฝุ่นคัมมูริ
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 4 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 24 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม |
---|
ความรุนแรง | 165 กม./ชม. (105 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 950 mbar (hPa; 28.05 inHg) |
---|
วันที่ 23 พฤศจิกายน หย่อมความกดอากาศก่อตัวขึ้นทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะกวม และเริ่มแสดงสัญญาณของการพัฒนาและมีการหมุนเวียนที่ดี และได้ก่อตัวขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนในวันที่ 25 พฤศจิกายน พร้อมกันนี้ศูนย์เตือนไต้ฝุ่นร่วมได้ให้รหัสเรียกขานกับพายุว่า 29W พายุดีเปรสชันเริ่มมีการพัฒนาลักษณะแถบฝนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของศูนย์กลาง ต่อมาจึงได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อว่า คัมมูริ (Kammuri) โดยพายุโซนร้อนคัมมูริได้เคลื่อนตัวผ่านทางใต้ของเกาะกวม และทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรงในวันที่ 27 พฤศจิกายน และเป็นพายุไต้ฝุ่นในวันถัดมา กระบวนการน้ำผุดของตัวพายุเองเป็นผลให้พายุมีการเคลื่อนที่แบบกึ่งอยู่นิ่ง เมื่อรวมกับลมเฉือนกำลังปานกลาง ทำให้พายุไต้ฝุ่นคัมมูริไม่ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นระยะเวลาสามวัน กระทั่งวันที่ 1 ธันวาคม คัมมูริเริ่มแสดงสัญญาณของการทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง และทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 2 (เทียบเคียงตามมาตราลม SSHWS) หลังจากนั้น
การประชุมสาธารณะภูมิอากาศครั้งที่ 119 สำนักงานบริหารบรรยากาศ ธรณีฟิสิกส์ และดาราศาสตร์แห่งฟิลิปปินส์ (PAGASA) ได้อภิปรายถึงความเป็นได้ในการคุกคามของพายุคัมมูริต่อประเทศฟิลิปปินส์ และมีความเป็นไปได้ที่การพัดขึ้นฝั่งของคัมมูรินั้นจะเกิดขึ้นในพื้นที่บีโคล-เคโซน ระหว่างการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2019 ในความรุนแรงระดับพายุไต้ฝุ่นที่ทรงพลัง[83] วันที่ 28 พฤศจิกายน PAGASA เริ่มจัดแถลงข่าวแสดงมาตรการที่เหมาะสมและการเชื่อมโยงการทำงานกับผู้จัดงานซีเกมส์ 2019 เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับพายุไต้ฝุ่น เช่น การจัดให้มีนักล่าพายุ (storm chaser) และเรดาร์เคลื่อนที่ ส่งไปยังสถานที่จัดการแข่งขันในเขตเมโทรมะนิลาและลูโซนกลาง[84] ต่อมาในช่วงบ่ายของวันที่ 30 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันจัดพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ PAGASA ได้จัดชื่อท้องถิ่นให้กับพายุคัมมูริว่า ตีโซย (Tisoy) เนื่องจากตัวพายุได้พัดเข้าสู่เขตพื้นที่รับผิดชอบของฟิลิปปิน (PAR) และเริ่มมีการเตือนภัยไปยังจังหวัดซีลางังซามาร์และฮีลากังซามาร์[85][86][87]
หน่วยงานปกครองท้องถิ่นเขตบีโคลได้เริ่มเตรียมการการมาถึงของพายุคัมมูริ[88] มีการเตรียมหน่วยกู้ภัยและเครื่องมือจำเป็น และโรงพยาบาลในจังหวัดคาตันดัวเนส ซึ่งเป็นจังหวัดที่คาดการณ์ว่าพายุคัมมูริจะพัดขึ้นฝั่งเป็นที่แรก โดยมีการเตือนภัยในพื้นที่ ได้แก่ การจองสถานอพยพ, การห้ามสุรา และให้หยุดงานและชั้นเรียนตามคำสั่งของรัฐบาลท้องถิ่นของจังหวัด ในเมืองคามาลิก จังหวัดอัลไบ มีการเก็บเกี่ยวพืชผลเร็วขึ้น ขณะที่สำนักงานขนส่งในเขตสั่งงดการโดยสารรถบัสไปยังท่าเรือเพื่อหลีกเลี่ยงการติดอยู่ในอันตรายของผู้โดยสาร ขณะเดียวกันนั้น ผู้จัดงานซีเกมส์ได้รายงานว่ามีการจัดทำแผนฉุกเฉินเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพายุคัมมูริไว้แล้ว[89][88]
สัญญาณเตือนภัยระดับ 1, 2 และ 3 ถูกนำมาใช้กับพายุที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะลูซอน มีการอพยพประชาชน 43,000 คน และอีกจำนวนมากถูกสั่งให้หา "สถานที่กำบัง"[90] เพราะเมื่อพายุคัมมูริเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะลูซอน พายุจะทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว วันที่ 2 ธันวาคม เวลา 13:30 น. ตามเวลาท้องถิ่นฟิลิปปินส์ พายุไต้ฝุ่นคัมมูริทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 3 (เทียบเคียงมาตรา SSHWS) ทางตะวันออกของซามาร์ โดยทำให้เกิดสภาพอากาศแบบพายุไต้ฝุ่นและฝนตกในเลย์เตและซามาร์ ก่อนที่พายุจะพัดขึ้นฝั่ง พายุไต้ฝุ่นคัมมูริทวีกำลังแรงขึ้นไปอีก โดยมีความเร็วลมสูงสุด 160 กม./ชม. (ต่อเนื่องสิบนาที) เวลา 17:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นฟิลิปปินส์ PAGASA รายงานว่ากำแพงตาด้านใต้ของคัมมูริทำให้เกิดลมพัดอย่างรุนแรงและฝนตกอย่างหนักในจังหวัดฮีลากังซามาร์ และได้เปลี่ยนแปลงจุดคาดการณ์ว่าพายุจะพัดขึ้นฝั่งไปยังพื้นที่อัลไบ-ซอร์โซโกน[91] ภาพถ่ายจากเมืองมานาปัสและกาไม ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งแปซิฟิกของจังหวัดฮีลากังซามาร์ แสดงให้เห็นอุทกภัยและลมแรงจากพายุคัมมูริ[92] และในประกาศฉบับสุดท้ายของวัน PAGASA รายงานว่าพายุคัมมูริพัดขึ้นฝั่งที่เมืองกูบัต จังหวัดซอร์โซโกน ในเวลา 23:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น[93]
พายุไต้ฝุ่นฟานทอง
พายุไต้ฝุ่น (JMA) |
---|
พายุไต้ฝุ่น (TMD) |
---|
พายุไต้ฝุ่นระดับ 2 (SSHWS) |
---|
|
ระยะเวลา | 19 – 29 ธันวาคม |
---|
ความรุนแรง | 150 กม./ชม. (90 ไมล์/ชม.) (เฉลี่ย 10 นาที) 970 mbar (hPa; 28.64 inHg) |
---|